วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ตัวอย่างการวิเคราะห์เรื่องสั้น

การวิเคราะห์เรื่องสั้น 
ตอน  ปลายทาง

ปลายทาง  ของ  จิรภัทร  อังศุมาลิน  เป็นเรื่องสั้นหนึ่งที่ได้รับการที่พิมพ์ครั้งแรกลงในนิตยาสารอิมเมจ  ปีที่ 6 ฉบับที่ 9  เดือนกันยายน  พ.ศ. 2536

ด้านโครงเรื่อง  เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นโครงเรื่องที่ไม่สลับซับซ้อน  เปิดเรื่องด้วยการบรรยายฉาก ตัวละครและเหตุการณ์  คือ เรือหางยาวของเฒ่าแปลกเอียงกระเท่เกยหาด  ในลำเรือนั้นมีน้ำทะเลซึมเข้าไปไม่มากนักแกลลอนน้ำมันวางอยู่ท้ายเรือ  ผ้าขาวม้าเก่าๆ ซุกตรงซอกติดกับแกลลอน  รองเท้าแตะเปียกชื้นวางตรงท้องเรืออย่างเป็นระเบียบ  สายเบ็ดม้วนขดในรางเก็บ  ไม่มีร่องรอยการใช้งาน  ทุกอย่างในเรือดูเหมือนยังอยู่ในที่ของมัน  นอกจากเจ้าของเรือเท่านั้นที่หายสาบสูญไป  ผู้แต่งสร้างปมของเรื่องให้ตัวละครมีความคิดขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจตนเอง  กล่าวคือ ภายนอกดูเหมือนว่า เฒ่าแปลกจะมีความสุขดีที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ติดกับทะเล  เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ผูกพันอยู่กับทะเลแล้ว เรียกว่าทะเลคือชีวิตของเฒ่าแปลกก็ได้    แต่ในทางกลับกัน  จิตใจของเขากลับรู้สึกว่าทะเลและชีวิตของเขามีแต่ความซ้ำซาก  น่าเบื่อหน่าย  สะอิดสะเอียน  น่ารันทดใจ ซึ่งเห็นได้จากบทสนทนาที่ว่า พ่อเคยเบื่อเลมั้ย นิพนธ์ถาม  กูเอียนเชียวหละ   เฒ่าแปลกยิ้ม  แต่กูก็ชอบออกเล ชอบสิ่งซ้ำซากเหมือนมึงเหมือนกู  พ่อพูดแต่เรื่องนี้ตลอด  ก็มันจริงนี่   น่าเบื่อ เออ เฒ่าแปลกพยักหน้า สักวันกูจะเป็นเลจริงๆ  พ่อก็เป็นแล้วไง   กูเป็นแค่ใจ  เฒ่าแปลกจ้องหน้าลูกชายคนเดียว แต่ไม่นานกูจะเป็นทั้งตัวเลย  เห็นได้ว่าการหน่วงเรื่องเริ่มเกิดขึ้นมาตลอดจากบทสนทนาตัวอย่างข้างต้น   ซึ่งเป็นการสนทนาแต่เรื่องเดิมๆกับลูกชายของตัวเองจนกลายเป็นจุดวิกฤต   ปัญหาเริ่มเพิ่มทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถหาทางออกได้จนถึงจุดสุดยอด ในที่สุดเฒ่าแปลกตัดสินใจคลี่คลายปัญหาดังกล่าวด้วยการพายเรือออกทะเลตองเที่ยงคืนขณะน้ำขึ้น  แล้วหายไปกับทะเลกว้าง  เหลือเพียงเรือน้อยลำเก่าที่ลอยกลับมาเกยหาดอยู่  ไม่มีใครทราบว่าเฒ่าแปลกหายไปไหน  ขณะนี้เป็นอย่างบ้าง  มีเพียงข้อสันนิษฐานต่างๆนานาจากคนใกล้ชิดที่มีหลากหลาย  ขณะที่นิพนธ์เองนึกถึงคำพูดของพ่อ  สำหรับมึงยังไม่ถึงเวลา  เฒ่าแปลกยิ้ม  แววตาที่สงบและอบอุ่น  แต่ของกูถึงปลายทางแล้ว  ปลายทางอะไร  นิพนธ์เงยหน้าถาม  ชีวิตไง พ่อรู้ได้ไง  เลบอก  ไว้มึงแก่เท่ากู มึงจะรู้  การจบเรื่องจึงเป็นแบบทิ้งปมปัญหาให้ผู่อ่านคิดเองว่าเฒ่าแปลกหายไปไหน มีชีวิตอยู่หรือว่าเป็นเลไปแล้ว ด้วยการพิจารณาจากบทสนทนาต่างๆภายในเรื่องและจากตัวอย่างดังกล่าวนี้  งั้นเอาเรือออกหาดีกว่า กำนันสั่ง  อย่าเลย  นิพนธ์ลุกขึ้น  พ่อไม่ต้องการแบบนั้นหรอก  มึงต้องเอาศพไปสวด  เฒ่าหงัดพูด  ไม่จำเป็น  ทำไม  กำนันถาม  พ่อเป็นเลไปแล้ว  

ด้านแนวคิด ผู้แต่งต้องการชี้ให้เห็นว่า  คนเราเกิดมา ไม่ว่าจะยากดีมีจน  สูงต่ำ ดำขาว  ก็ล้วนแล้วแต่มีปลายทางของชีวิตเหมือนกันทั้งสิ้น นั่นคือ  ความตาย  ที่ไม่สามารถหลีกหนีความจริงนี้ได้  ทรัพย์สินเงินทองที่เป็นของนอกกายก็ไม่สามารถเอาไปได้ นอกจากจิตวิญญาณเท่านั้น

วิจารณ์แนวคิด  หากลองมองดูให้ดี  ผู้แต่งต้องการบอกว่า ชีวิตก็เหมือนการเดินทาง  ย่อมต้องมีปลายทางหรือจุดสิ้นสุดของมันอยู่เสมอ  ขอเพียงเรามีความเข้าใจ  รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งที่เป็นอยู่ก้เพียงพอแล้ว

ตัวละคร   ผู้แต่งได้กล่าวถึงตัวละครในเรื่องไว้ทั้งหมด  อันได้แก่ เฒ่าแปลก เฒ่าหงัด  กำนัน  นิพนธ์   และสัก เด็กรุ่นเดียวกันกับนิพนธ์  แต่ที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการดำเนินเรื่องหรือตัวละครเอกเพียงสองตัว คือ เฒ่าแปลกและนิพนธ์  ที่มีนิสัยแบบหลายลักษณะ  กล่าวคือ เฒ่าแปลกมีความคิดขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจตนเอง คือ เฒ่าแปลกมีความเบื่อหน่ายสิ่งซ้ำซากเดิมๆของชีวิตที่ต้องอยู่กับทะเล แต่กลับชื่นชอบที่ออกทะเล  ส่วนนิพนธ์นั่น เป็นตัวละครที่มีความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์  คือ  มีความคิดที่ขัดแย้งกับความคิดของเฒ่าแปลก   ส่วนตัวละครอื่นๆ นั้น  เป็นตัวประกอบที่สำคัญในการดำเนินเรื่องราวตลอดทั้งเรื่องจนถึงตอนจบ

บทสนทนา ในเรื่อง  ปลายทาง  มีค่อนข้างมาก  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทสนทนาที่นิพนธ์นึกถึง ตอนที่ได้พูดคุยกับเฒ่าแปลกก่อนที่จะหายสาบสูญไป  นอกจากนี้ก็มีบทสนทนาระหว่างนิพนธ์ เฒ่าหงัดและกำนัน  ดังข้อความตัวอย่าง

                            พ่อเคยเบื่อเลมั้ย นิพนธ์ถาม  กูเอียนเชียวหละ   เฒ่าแปลกยิ้ม  แต่กูก็ชอบออกเล ชอบสิ่งซ่ำซากเหมือนมึงเหมือนกู  พ่อพูดแต่เรื่องนี้ตลอด  ก็มันจริงนี่   น่าเบื่อ เออ เฒ่าแปลกพยักหน้า สักวันกูจะเป็นเลจริงๆ  พ่อก็เป็นแล้วไง   กูเป็นแค่ใจ  เฒ่าแปลกจ้องหน้าลูกชายคนเดียว แต่ไม่นานกูจะเป็นทั้งตัวเลย  

                จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า คำพูดแสดงถึงความรู้สึกที่เบื่อหน่าย  หมดพลังชีวิต หมดหวังเหลือเพียงความรู้สึกไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว

                                พ่อมึงออกเลตอนไหน  กำนันถาม   เที่ยงคืนเห็นจะได้   นิพนธ์เงยหน้าตอบ  กูไม่ได้ยินเสียงเครื่อง  กำนันปาดเหงื่อตรงขมับ  ตอนเที่ยงคืนกูยังนั่งตรงชานหน้าบ้านเลย  พ่อใช้พาย  ทำไมมึงไม่ห้าม  จะไปรู้ได้ไง  ไอ้แปลกคงเบื่อชีวิตมั้ง  เฒ่าหงัดเอ่ย ไม่  นิพนธ์ส่ายหน้า   พ่อเบื่อเล 

จากข้างต้น เป็นการสนทนาที่มีความสนิทสนมกันมาก  เนื่องจากคำพูดที่ใช้จะมีลักษณะภาษาปาก  รูปแบบคำง่ายๆ 

วิจารณ์บทสนทนา  คำพูดที่นำมาใช้เป็นภาษาปาก  ใช้คำท้องถิ่นเป็นกันเอง  มีคำแสดงปะปนอยู่ด้วย อาทิ เช่น คำสรรพนามที่แทนตนเองและบุรุษที่สอง คำว่า  มึง  กู  สะท้อนให้เห็นถึงอายุของผู้พูดกับผู้ร่วมสนทนานั้นมีความแตกต่างกันหรือไม่ก็มีความสนิทสนมกัน  ซึ่งหากมองคำพูดแล้วอาจเป็นคำไม่สุภาพ  ไม่ควรเอาเป็นแบบอย่าง  แต่หากลองมองเปรียบระหว่างคำพูดและจิตใจของคนท้องถิ่นกับคนเมืองแล้ว  มีความแตกต่างอย่างชัดเจนมาก  คนท้องถิ่นนั้นพูดจาอาจไม่สุภาพ  อ่อนหวานอย่างคนเมืองแต่กลับมีน้ำใจที่เหลือล้น  ต่างจากคนเมืองโดยสิ้นเชิง 

ฉากและบรรยากาศ   ที่ปรากฏในเรื่อง  ชายทะเล  ที่มีเรือหางยาวลำหนึ่งจอดกระเท่เกยหาดอยู่  ซึ่งลอยมาเกยฝั่งเอง ข้าวของภายในเรือก็จะมีการใช้งานมาแล้วเป็นเวลานาน บ่งบอกถึงความเก่า  สกปรก  ชำรุด  เสื่อมไปตามกาลเวลา
 
ในขณะเดียวกันผู้แต่งก็พยายามสร้างบรรยากาศดูมีความสงบแต่มีความเงียบเหงา  เสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งอย่างไม่ขาดสาย  สายลมที่พัดโชยมาพร้อมกับนำเอาความยะเยือกเย็นมากระทบผิวกายกลุ่มคน แต่กลับเป็นเพียงความเคยชินและเฉยชาของชาวเลไปเสียแล้ว 

ด้านกลวิธีการประพันธ์  พบว่า ผู้แต่งตั้งชื่อเรื่องตามลักษณะแนวคิด  เปรียบเทียบชีวิตที่เหมือนกับการออกเดินทางนั่นเอง  ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องถึงปลายทาง  เฉกเช่นกับชีวิตที่ต้องมีวันลาโลก

กลวิธีการเล่าเรื่อง พบว่า  ผู้แต่งเป็นผู้เล่าเรื่องของตัวละครต่างๆ โดยใช้สรรพนามเรียกตัวละครเป็นบุรุษที่ 3 เหมือนกลวิธีที่1 แต่ผู้แต่งจะเป็นผู้สังเกตการณ์  คือเป็นผู้เล่าเรื่องเพียงอย่างเดียว  แต่จะไม่ทราบอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร 

กลวิธีการดำเนินเรื่อง พบว่า ผู้แต่งใช้กลวิธีดำเนินเรื่องด้วยเหตุการณ์ที่ตอนจบก่อนแล้วจึงย้อนกลับไปเล่ารายละเอียดของเหตูการณ์ในอดีตจนกว่าจะบรรจบกับเหตุการณ์ต้นเรื่อง


สรุปเรื่องนี้ มีประโยชน์มากกับการใช้ชีวิต  วิถีทางการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ในแต่ละวัน  เราสามารถเข้าใจธรรมชาติของชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในแต่ละวัน ที่มีทั้งเรื่องที่ดี  ไม่ดี  ขึ้นๆลงๆ เปลี่ยนแปลงเรื่อยไปอย่างคลื่นทะเลที่มีขนาดที่แตกต่างกันออกไป แต่ก็ทำให้ทะเลมีสีสัน สวยงามได้
                                                                                                                                              

                                                                                                                                         Nalika Sine 
                                                                                   เด็กฝึกหัด